วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

ประวัติรองเท้า

ประวัติรองเท้าNEWBALANCE
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ new balanceประวัติสตัด
คำว่าสวัสดีกับเพื่อนๆ ทุกคนเลยที่เข้ามาติดตามการรีวิวสินค้าอินเทรนด์ gadget ใหม่ๆ รวมไปถึงตัวอุปกรณ์ไอทีและสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด ก็มีมาให้เลือกอ่าน เลือกชมรูปสินค้า เลือกหาข้อมูลแล้วก็ดูว่าสินค้าตัวไหนน่าซื้อและเหมาะกับการใช้งานของตัวคุณเองด้วยนะครับ ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เป็นการรีวิวรองเท้ากีฬาที่ยอดนิยมเลยทีเดียว เรียกว่ากีฬาฟุตบอลนี่ใครๆ ก็ชอบนะครับ แล้วก็มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกีฬาชนิดนี้ทำมาขายกันมากมายด้วย แล้วอุปกรณ์ตัวหนึ่งที่สำคัญต่อการเล่นกีฬาฟุตบอลก็คือ รองเท้าสตั๊ดนั้นเองครับ ตัวที่เราจะนำมารีวิวก็เป็นรุ่นล่าสุดของทาง new balance เลยทีเดียว เป็นรุ่นที่พึ่งเปิดฤดูกาลฟุตบอลไปเมื่อต้นฤดูกาล 2016-2016 ที่ผ่านมานี้เองนะครับ คุณสมบัติและความพิเศษของรองเท้ารุ่นนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง มาติดตามกันเลยครับ
   สำหรับรองเท้าสตั๊ด new balance รุ่น visaro นี้ เป็นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อการเล่นฟุตบอลได้ดีขึ้นอีกหนึ่งสเตป โดยเฉพาะคนที่อยู่ในตำแหน่งแดนกลางหรือปีกซ้ายและขวาในสนามฟุตบอล ถามว่าทำไมต้องเป็นตำแหน่งเหล่านี้ด้วย แล้วรองเท้าสตั๊ดมันก็คงจะเหมือนๆ กันทุกคู่ ทุกยี่ห้อ แต่ขึ้นอยู่กับเทคนิคของผู้สวมใส่ต่างหากไม่ใช่หรอ ถ้าอย่างนั้นมันก็ถูกส่วนหนึ่งครับ แต่รองเท้าคู่นี้มีการออกแบบมาเพื่อให้การสวมใส่แล้วมันสามารถควบคุมลูกฟุตบอลให้ติดเท้ามาขึ้น เลี้ยงได้ดีขึ้น ยิงส่งได้ถูกทางมากขึ้น ยิ่งได้แม่นขึ้นว่างั้นนะครับ แต่อันนี้จะจริงหรือไม่จริง ยังไม่ทราบนะครับ เพราะข้อมูลข้างต้นนี้เป็นข้อมูลจากทาง new balance เองที่ได้เปิดตัวรองเท้ารุ่นนี้ออกมา เพราะทางแบรนด์นี้เองพึ่งจะมาบุกตลาดเรื่องของรองเท้าสตั๊ดมาเป็นครั้งแรกในรุ่นนี้ด้วย เพราะปกติแล้วจะเห็นว่า new balance เองก็จะทำแต่พวกรองเท้าวิ่ง รองเท้าแฟชั่น อะไรแบบนี้มากกว่านะครับ ก็ต้องดูกันต่อไปว่าจะมีผู้คนในวงการฟุตบอลให้ความสนใจที่จะใช้รองเท้ารุ่นนี้ในสนามกีฬาฟุตบอลแมดดังๆ หรือไม่ นักกีฬาจะให้คำติชมกับรองเท้ารุ่นนี้อย่างไร แต่ครั้งนี้ก็มารีวิวรูปลักษณ์ภายนอกกันก่อนนะครับ
   ก็ต้องบอกว่าเรื่องของการออกแบบรูปทรงนั้นถ้ามองเผินๆ ใครที่เป็นสาวกของทาง ไนท์กี้ อยู่แล้ว อาจจะมองว่ามันจะคล้ายกับรองเท้ารุ่นหนึ่งที่เป็นรองเท้าสตั๊ดเหมือนกันเนี่ยนะครับ รูปทรงจะประมาณนี้เลย ก็ต้องบอกตามตรงว่ามันก็มีส่วนคล้ายอยู่บ้างทีเดียว แต่ว่าทางวัสดุที่นำมาทำเนี่ยมันจะไม่เหมือนกันเลยนะครับ แล้วจุดที่แตกต่างมันก็ยังมีอยู่ ซึ่งตัววัสดุที่นำมาทำตัวบอดี้ของรองเท้าสตั๊ดรุ่นนี้เอง new balance จะเรียกว่าหนังที่เป็นแบบ ไฮเปอร์มินอล ซึ่งเป็นหนังสังเคราะห์ขึ้นมาแบบพิเศษของทาง นิว บาลานท์ เอง การออกแบบก็จะเย็บด้วนด้ายในลอนท์ทั่วทั้งบอดี้เป็นแนวแบบรูปตาข่าย เป็นการเย็บแบบสองชั้นด้วย เพื่อความทนทานนั้นเอง แล้วบริเวณด้านข้างก็ออกแบบลายต่างๆ ให้เป็นรูปแปดเหลี่ยมขึ้นลงสลับกัน ก็ดูสวยงามดีครับ แล้วที่ตัวเจ้าของแบรนด์ออกมาโฆษณาว่ารองเท้ารุ่นนี้มันมีข้อดีในส่วนของการบังคับทิศทางบอลได้ดี ได้แม่น แล้ก็ควบคุมบอลได้ดีด้วยนั้น ผมก็มองเห็นจุดที่น่าจะสอดคล้องกับคุณสมบัติดังกล่าวแล้วนะครับ ซึ่งตรงบริเวณด้านข้างของรองเท้าด้านในและด้านนอกทั้งสองด้านเลยเนี่ย จะถูกออกแบบมาเฉพาะเลย ก็คือ เมื่อได้เอามือสัมผัสดูพื้นผิวตรงจุดนั้นเนี่ยจะรู้สึกถึงความหนึดแล้วก็พื้นที่มันไม่ลื่น จะแตกต่างจากการสัมผัสตรงส่วนอื่นๆ ที่มันนุ่มกว่า แต่ส่วนนั้นจะไม่เหมือนกันเลย ก็คิดว่าน่าจะทำให้การคุมบอลได้ดีนะครับ ต่อมาในส่วนของด้านท้ายรองเท้าก็จะมีชื่อรุ่น visaro บอกเอาไว้ชัดเจนเลย แล้วก็ตรงด้านท้ายก็จะมีโลโก้ NB บอกเอาไว้ด้วย เมื่อหงายรองเท้าขึ้นมาดูตรงปุ่มด้านล่าง ก็ถูกออกแบบมาไม่เหมือนกันทั้งพื้นรองเท้านะครับ โดยจะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นลักษณะปุ่มสามเหลี่ยม จะอยู่ในโซนตรงซ้นเท้า แล้วก็มีส่วนที่สองเป็นปุ่มแบบ แปดเหลี่ยม จะอยู่ตรงโซนปลายเท้า การออกแบบเช่นนี้ก็ทำให้การกลับตัวเตะหรือการสปิ้นซ์มันทำได้ดีขึ้นด้วยนั้นเองครับ
   ก็ถือได้ว่าสินค้าอินเทรนด์ตัวนี้เป็นรุ่นที่พึ่งเปิดตัวมาครั้งแรกของทาง new balance ที่มาเจาะตลาดเรื่องของรองเท้าฟุตบอล รองเท้าสตั๊ด แล้วก็ทำการบ้านมาดีไม่น้อยเลยทีเดียว เรื่องของการผลิต การใส่ใจรายละเอียดต่างๆ ทำมาได้ถือว่าครบทุกจุดจริงๆ ในการทำรองเท้าสตั๊ดให้มีจุดเด่น แล้วก็จุดขายในตัวรองเท้าได้อย่างชัดเจนครับ ใครที่ชอบก็ลองไปหาซื้อกันดูได้

ประวัติรองเท้า

ประวัติรองเท้าUMBRO

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ umbroประวัติ




คำว่า umbro ย่อมาจากชื่อนามสกุลของพี่น้องสองคนคือ Harold - Wallace Humphreys (brother) และ แบรนด์นี้เกิดขึ้นในปี 1924 หรือเกือบ 100 ปีที่แล้ว ไม่ต้องถามว่าทีมอะไรบ้าง ที่ใช้เสื้อผ้าบราห้อนี้ เพราะทีมดังๆ เคยผ่านมาหมด ทั้งบราซิล และอังกฤษ หรือแมนยู ลิเวอร์พูล

แต่โลกของทุนนิยมที่มีเงื่อนไข ทำให้อัมโบรถูกเทคโอเวอร์โดยไนกี้ และในเดือนเมษายนนี้ อังกฤษจะต้องใช้แบรนด์ของไนกี้เป็นครั้งแรก

ไม่ใช่เรื่องฟูมฟาย แต่จะบอกว่า อัมโบรมีความผูกพันยาวนานกับโลกฟุตบอล อีกทั้งเคยผ่านช่วงคลาสสิค คือยุคที่แฟชั่นและฟุตบอล ผ่องถ่ายน้ำหนักต่อกัน

ในช่วงกำเนิดวัฒนธรรม pop culture ทศวรรษที่ 60 วงการฟุตบอลเคยรับเอา “แฟชั่นที่ทันสมัย” อันเกิดความนิยมเสื้อคอกลมทำจากวัถุดิบสังเคราะห์ (อาจได้อิทธิพลจากแจ๊คเกตไร้ปกของ The Beatles ) พร้อมกับการกลับมาของเสื้อแขนยาว รูปแบบชุดสีดั้งเดิมถูกละเลย

ทีมหนึ่งที่รับแฟชั่นเสื้อผ้ามาอย่างชัดเจนก็คือ Leeds United ซึ่งเปลี่ยนจากสีน้ำเงินและสีเหลือง มาเป็นสีขาวในช่วงยุค 60 ภายใต้คำแนะนำของดอน เรวี (Don Revie) เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและแฟชั่นอย่าง รีล มาดริด นับแต่อดีตจนถึงช่วงเวลานั้น บริษัทสัญชาติอังกฤษเช่น Umbro และ Bukta ถือเป็นกำลังขับเคลื่อนสำคัญเบื้องหลังผลิตภัณฑ์เสื้อผ้านักกีฬา

แต่ในช่วงยุค 60 ถึง 70 แบรนด์ยุโรปอย่าง อาดิดาส และ พูมา เริ่มสร้างความประทับใจในการแข่งขันฟุตบอล ถึงแม้ว่าในสมัยนั้นคุณไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นผู้ผลิตเสื้อยืดของนักกีฬา นอกเสียจากคุณจะมองเห็นป้ายยี่ห้อขนาดเล็กที่ติดอยู่ภายใน ชุดจำลองของนักกีฬายังไม่มีวางจำหน่ายและตรา
เครื่องหมายของผู้ผลิตยังไม่ปรากฏบนเสื้อฟ้าจนกระทั่งฤดูกาลปี 1973-1974

หลังจากนั้นไม่นาน ชุดจำลองของนักกีฬาเวอร์ชั่นแรกก็ออกวางจำหน่ายเป็นครั้งแรก ต่อมาไม่นานนักสมาคมฟุตบอลก็ออกกฎเรื่องขนาดโลโก้ผู้ผลิตที่ปรากฏบนเสื้อผ้า นักกีฬา และด้วยความช่างคิดของผู้ผลิตจึงเกิดการตกแต่งแขนเสื้อทั้งสองข้างด้วยโลโก้ ดังกล่าว เพื่อการขายสินค้าอย่างมี
ประสิทธิภาพ (แม้เป็นการกระทำอันละเลยกฎของสมาคมก็ตาม)

หลังผ่านวัฒนธรรมช่วง 60 ต่อด้วยความหวือหวาแห่งยุค 70 กางเกงขาบานและเสื้อผ้าฉูดฉาดพบเห็นอยู่ทั่วทั้งอัฒจันทร์ คอปกเสื้อตั้งตรงเป็นส่วนหนึ่งของดีไซน์แบบกล้าได้กล้าเสียของยี่ห้อ แอดมิรัล อัมโบร และอาดิดาส นอกจากนี้ตำแหน่งของตราสโมสรจัดวางแตกต่างกันไป หากไม่ปรากฏบริเวณด้านซ้ายเหนือหน้าอกก็จะปรากฏอยู่ตรงกลาง

แฟชั่นฟุตบอลโลกดังกล่าวส่งผลถึงวงการฟุตบอลอังกฤษในช่วง 70 เช่นกัน ในระยะเวลาสั้นๆสีเหลืองกลายเป็นสีที่สามของทีมหรือไม่ก็เป็นสีของทีมเยือน เนื่องจากอิทธิพลของบราซิลซึ่งกำลังครอบครองฉากบนเวทีโลกในขณะนั้น


ปี 1979 เป็นกุญแจสำคัญในประวัติศาสตร์เสื้อฟุตบอล นอกเหนือจากความล้ำหน้าของทีมชาติสก๊อตแลนด์ที่พิมพ์นามสกุลของนักกีฬาลงบน เสื้อยืดเหนือหมายเลขแล้ว ข่าวใหญ่ต่อมาคือ บริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อความบันเทิงชั้นนำสัญชาติญี่ปุ่นอย่างฮิตาชิ เข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนเสื้อนักกีฬาแห่งทีมลิเวอร์พูล

ทำให้เกิดข้อโต้เถียงกันในหน่วยงานในแวดวงฟุตบอลเรื่องโลโก้ตัวที่สามบนเสื้อนักกีฬา

ขณะที่สโมสรดาร์บี เคาน์ตี (Darby County) พยายามจัดการกับข้อตกลงอันล้มเหลวระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ซาบ (Saab) ซึ่งเป็นผลมาจากข้อกำหนดของสมาคมฟุตบอล เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับทีมฟุตบอลที่ไม่ใช่สมาชิกของสมาพันธ์ (non-league football) อย่างทีมจากเมืองเคทเทอริง (Kettering) ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะแหกกฎทำให้ทีมอื่นๆพากันละเลยข้อบังคับดังกล่าว

ในที่สุดเมื่อกลางปี 80 ลีคส่วนใหญ่ก็มีเสื้อประดับโลโก้ผู้สนับสนุนเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นโลโก้ยี้ห้อเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยใหม่และบริษัทเจ้าของโรงกลั่น เบียร์ (แต่การโฆษณาเครื่องดื่มมึนเมาเป็นประเด็นยุ่งเหยิงเพราะชุดจำลองของนักกีฬา สำหรับเด็กนั้นปราศจากโฆษณาของมึนเมามานาน
แล้ว)

แต่การอนุญาตให้สวมเสื้อโฆษณาในการถ่ายทอดได้เริ่มต้นเมื่อช่วงฤดูกาล ปีค.ศ.1983-1984 ก่อนหน้านั้นนักกีฬาสวมแต่เสื้อยืดไม่ระบุสปอนเซอร์ทุกครั้งที่มีการถ่ายทอด

นอกเหนือจากการอุปถัมภ์ของสปอนเซอร์แล้ว ในเรื่องการออกแบบของยุค 80 ซึ่งถือเป็นช่วงสมัยใหม่นำโดยแบรนด์ยุโรปที่มีประสบการณ์อย่าง Le Coq Sportif, Patrick และ Hummel มรดกในการออกแบบถูกโยนออกนอกหน้าต่างขณะที่ขอบเขตสีและสไตล์แบบดั้งเดิมถูก ท้าทาย สไตล์การแต่งตัวแบบตามสบายเข้ามาแทนที่

ทำให้ปกเสื้อแบบคอ ตั้งค่อยๆจากหายไป แทนที่ด้วยปกคอวีที่มักจะตกแต่งด้วยสีเพิ่มเข้ามาเป็นพิเศษ เนื้อผ้าคอตตอนลาจากไปโดยมีเนื้อผ้าอ่อนนุ่ม และทำจากเส้นใยสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์ เสื้อไม่รัดรูปเฉยพอๆกับกางเกงขาบานในเวลานั้น รูปแบบการตัดเสื้อในสมัยนี้ค่อยๆเข้ารูปมากขึ้นและเทคโนโลยีแบบใหม่ทำให้ลูกเล่นบนเสื้อไม่ได้มีแค่แถบบางและแถบเงาอีกต่อไป

เมื่อเทคโนโลยีกลายเป็นแรงขับเคลื่อนดีไซน์ชุดนักกีฬาตั้งแต่ปลายปี 80 และด้วยการถือกำเนิดเนื้อผ้าแบบใหม่ทำให้เสื้อแบบหลวมกลับมาอีกครั้ง เพราะสโมสรหลายแห่งตระหนักว่าเสื้อยืดที่สวมใส่สบายไม่จำเป็นต้องมีน้ำหนัก มากอีกต่อไป นอกจากนี้การสวมเสื้อหลวมๆทำให้นักกีฬาดูใหญ่โตและน่าเกรงขาม

แฟชั่นหลวมๆนี้ค่อยๆหลวมมากขึ้นทีละน้อยเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับข้อมือเสื้อและกางเกงในยุคก่อนหน้านี้ และ ไม่นานนักวงล้อแฟชั่นก็เริ่มหมุนกลับมาอีกครั้งเมื่อเสื้อปกติดกระดุมกลับมา นิยมอีกครั้งอย่างไม่มีใครคาดคิด อย่างไรก็ดีเทคโนโลยีการพิมพ์ผ้าอัน ก้าวหน้าทำให้ดีไซน์แอปแสตรคแปลกใหม่สามารถรวมอยู่ในเนื้อผ้าได้ตั้งแต่การ ผลิตในขั้นต้น ไม่นานนักสโมสรฟุตบอลหลายแห่งงัดลวดลายจุด แต้มระบายและแม้แต่การกระจายสีรวมอยู่ในการรูปแบบการใช้สีสันต่างๆบนเสื้อฟุตบอล

แผนการตลาดของเสื้อฟุตบอลระเบิดขึ้นเมื่อต้นปี 90 เพราะดูเหมือนว่าทุกคนจะเป็นเจ้าของเสื้อฟุตบอลทีมโปรดอย่างน้อย 1 ตัว จากการขยายตัวในเส้นทางแฟชั่น ทำให้สโมสรต่างๆตระหนักว่ารายได้ของพวกเขามาจากเส้นทางสายนี้ ทำให้เกิดการตั้งเวลาการเปลี่ยนลายบนเสื้อเพื่อให้แต่ละปีสโมสรสามารถผลิต เสื้ออกมาได้ฤดูกาลละ 1 เวอร์ชั่น

ความนิยมเสื้อฟุตบอลดังกล่าวอย่างแพร่หลายก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ จากบรรดาผู้ปกครองที่เขียนถึงสื่อทั่วโลกเรื่องราคาที่แพงเกินกว่าเหตุ ทั้งที่เสื้อแต่ละแบบหมดความนิยมอย่างรวดเร็ว

แต่แน่นอนว่าบรรดาแฟนคลับที่มีเหตุผลจะเข้าใจว่าโอกาสที่เสื้อฟุตบอลติด ป้ายครึ่งราคาจะวางอยู่ในร้านนานพอให้พวกเขาเข้าไปเลือกซื้อได้ เพราะเมื่อใกล้หมดฤดูกาลแข่งขัน ร้านค้าก็จะเตรียมนำเสื้อแบบใหม่มาวางขายแทน

อันที่จริงแล้วแฟนคลับส่วนใหญ่ต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยการเปิดเผยเสื้อ แบบใหม่ล่าสุดต่อสาธารณชนและคาดหวังว่าเสื้อเหล่านี้จะนำชัยชนะมาสู่ทีม ฟุตบอลที่พวกเขาสนับสนุน

ปีต่อปี เสื้อต่อเสื้อ เมื่อผ่านมายังช่วงเวลานี้ แบรนด์หลายแบรนด์ต่างล้มหายตายจาก

และอัมโบรคือตราอันคลาสสิค ที่ผ่านเรื่องราวทั้งหมดที่เบ่า นับจากบรรทัดแรก

แม้ยังไม่ได้เลิกผลิต แต่ก็มีพื้นที่บนเสื้อ น้อยเต็มทีแล้ว















วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560

ประวัติรองเท้า mizuno

ประวัติรองเท้า mizuno

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติรองเท้าฟุตบอล mizuno

มิซูโน่กำเนิดขึ้นในปี 1906 โดย Rihachi Mizuno ที่โอซาก้า แรกเริ่ม มิซูโน่ เน้นทำรองเท้าเบสบอลซึ่งเป็นกีฬาที่ยอดนิยมมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่นในขณะนั้นโดยนาย Rihachi Mizuno เป็นที่รู้จักกันในนาม Father of high School Baseball แล้วเค้ายังได้พยายามผลักดันลูกชายของเค้านาย Kenjiro ให้พัฒนาสินค้าอื่นๆของ Mizuno ให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น เช่น อุปกรณ์กอล์ฟ รองเท้าวิ่ง และรองเท้าฟุตบอล

ประวัติรองเท้าฟุตบอล

แคปป้า



Kappa ตั้งต้นมาจากบริษัท Maglificio Calzificio Torinese ในเมืองตูริน อิตาลี ที่เป็นบริษัทผลิตถุงเท้า เสื้อผ้า และชุดชั้นในใหญ่ยักษ์ของอิตาลี ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1950

แต่หลังจากนั้น ในช่วงปี 1969 เกิดสภาวะยอดขายชะงัก MCT จึงได้ทำการเบ่งบริษัทลูกออกมาบริษัทหนึ่ง ชื่อ Robe di Kappa เพื่อผลิตสินค้าที่เป็นชุดลำลองให้แก่วัยรุ่นในสมัยนั้น

และในช่วงหลังยุค 70 ผู้เป็นป๊ะป๋าของ kappa อย่าง Marco Boglione ก็เป็นคนพา kappa เข้าสู่ธุรกิจฟุตบอลเต็มรูปแบบ  onion8 โดยการเข้าสนับสนุนสโมสรของเมืองตูริน อย่างยูเวนตุส

ส่วนโลโก้ของ kappa มีชื่อว่า "The Omini" แปลว่า ผู้ชาย ในภาษาอิตาลี มีที่มามาจาก แบรนด์ชุดว่ายน้ำของ MCT ที่ชื่อ Beatrix ต้องการถ่ายแบบสำหรับแคตาล๊อกชุดว่ายน้ำ ช่างถ่ายภาพต้องการภาพที่มันออกมาอาร์ตนิดๆ เซ็กซี่หน่อยๆ จึงได้เอานายแบบ กะนางแบบ มาแก้ผ้าหันหลังชนกัน แล้วถ่ายย้อนแสง ปรากฎว่าภาพออกมาแจ่มมาก และไปเข้ากับช่วงเวลาที่แบรนด์ Robe di Kappa กำลังออกมาพอดี และไปต้องใจผู้บริหารของ MCT เข้า

สุดท้ายภาพนั้นก็ไม่ได้เอาไปใช้ในแคตตาล๊อกแต่อย่างใด แต่กลายมาเป็นโลโก้ของแบรนด์ kappa ซึ่งสื่อถึงการสนับสนุนร่วมกันระหว่างชายและหญิง, และความสมบูรณ์ของพวกเขา

ประวัติรองเท้า PAN

ประวัติรองเท้า PAN



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติรองเท้าฟุตบอล pan



ประวัติและความเป็นมาบริษัท     PDF                                                                      พิมพ์    อีเมล
เขียนโดย Administrator     
วันจันทร์ที่ 03 พฤษภาคม 2010 เวลา 08:17 .
ประวัติของกลุ่มแพน
     ธุรกิจหลักของกลุ่มแพน คือการผลิตรองเท้ากีฬาชั้นนำเพื่อส่งออกมีปริมาณการผลิตอยู่ในอันดับ 1 ใน 3 ของโลก สามารถทำเงินตราต่างประเทศได้ปีละ 1,000 ล้านบาท  จุดเริ่มต้นการผลิตของกลุ่มจาก แผนกผลิตรองเท้าสังกัดบริษัทไลอ้อนประเทศไทย ซึ่งอยู่ในกลุ่มสหพัฒนพิบูลย์ ต่อมาในปีพุทธศักราช 2517 จึงได้แยกตัวออกมาตั้งเป็น บริษัท บางกอกรับเบอร์ จำกัด  ได้สร้างสินค้าของตนเองภายใต้เครื่องหมายแพน อันมีรองเท้านักเรียน เสื้อผ้า ชุดกีฬา
     บริษัท  บางกอกรับเบอร์ ได้พัฒนาตนเองตลอดมา ในปี พุทธศักราช 2522  ได้รับความไว้วางใจให้เป็นโรงงานแห่งแรกของไทย ผลิตรองเท้าไนกี้ ซึ่งเป็นรองเท้าชั้นนำ ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการผลิต และมียอดจำหน่ายที่สูงที่สุดในโลก ผลการดำเนินงานเป็นที่พอใจของลูกค้า จึงได้ขยายกำลังผลิต โดยตั้ง บริษัท แพนเอเซียฟุตแวร์ เมื่อพุทธศักราช 2522 ที่สวนอุตสาหกรรมสหพัฒนพิบูลย์ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี  บริษัททั้ง 2 ได้ ขยายตัวเป็นกลุ่มแพน และลงทุนตั้งโรงงานผลิตรองเท้าในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงจัดตั้งบริษัทผลิตแม่พิมพ์พื้นรองเท้า  ผลิตพื้นรองเท้า ผลิตชิ้นส่วนประกอบรองเท้า บริษัทวิจัยและพัฒนา บริษัทผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ และธุรกิจบริการ เช่น ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจหอพัก ธุรกิจน้ำดื่ม ธุรกิจปั้มน้ำมัน(บางจาก) และธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพเป็นต้น


ประวัติรองเท้าไนกี้

ประวัติรองเท้า Nike

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

รองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดจากไนกี้  ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาภายใต้แรงบันดาลใจที่ได้รวบรวมเอาจุดเด่นของรองเท้าทั้ง 3 ซีรี่ย์ของไนกี้  ทั้ง T90 ,  Mercurial  และ  Tiempo  มารวมกันไว้ใน CTR 360 โดยคำว่า CTR นั่นย่อมาจากคำว่าControl ส่วนเลข 360 นั้นหมายถึง 360 องศา นั้นแสดงถึงความสามารถรอบด้านของรองเท้าซีรี่ย์ใหม่ป้ายแดง  รวมๆแล้วคำว่า CTR 360 นั้นหมายถึง  “รองเท้าที่สามารถควบคุมทุกอย่างในสนามฟุตบอล…”
รองเ้ท้ารุ่นนี้ได้พรีเซนเตอร์เป็นกองกลางชื่อดังจากหลายสโมสรทั่วโลก  นำโดย เชส ฟาเบรกัส, อันเดรียส  อินิเอสต้าและฮาเวียร์ มาสเคร่าโน่  ทำให้ CTR 360 เหมาะสมกับภาพลักษณ์ของการเป็นรองเท้าฟุตบอลสำหรับกองกลางจอมสร้างสรรค์เกมในสนามเป็นอย่างยิ่ง  เทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกบรรจุอยู่บนรองเท้า  จะเน้นไปทางด้านความสามารถในการจ่ายบอล , การควบคุม  และการสัมผัสที่มีประสิทธิภาพ  รวมถึงรองเท้ายังมีน้ำหนักตัวเบา  ซึ่งเป็นประโยชน์ในการเคลื่อนที่ของนักเตะแดนกลางที่ต้องวิ่งขึ้น-ลงทั่วทั้งสนามตลอด 90 นาทีเป็นอย่างมาก



ประวัติความเป็นมาของรองเท้าฟุตบอล


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติรองเท้าฟุตบอล adidas


ประวัติรองเท้า Adidas

หากพูดถึงรองเท้ากีฬาที่เหล่าผู้เล่นชื่อดังระดับโลกเลือกใช้ในการแข่งขันที่สำคัญของพวกเขา ย่อมมีชื่อของAdidas และ Puma ปรากฏเป็นชื่อแรก ในฐานะ 2 แบรนด์รองเท้ายักษ์ใหญ่ที่ทรงอิทธิพลในแวดวงกีฬา แต่ทราบกันไหมครับว่าจริง แล้วทั้ง Adidas และ Puma นั้นเกิดจากเรื่องราวที่แสนขมขื่นของพี่น้องชาวเยอรมันตระกูลดาสเลอร์ (Dassler) 2 คนชื่อ Adi (แอดดิ) และ RudI (รูดิ)
วันนี้ Lexussociety.com ขอพาคุณไปรับรู้เรื่องราวความไม่ลงรอยกัน ของสองพี่น้องผู้ให้กำเนิดรองเท้ากีฬาเลื่องชื่อกันครับในเมืองแฮร์โซเกเนารัก (Herzogenaurach) ทางตอนเหนือของรัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมัน ปี 1920 อดอล์ฟ (แอดดิ) ดาสเลอร์ เป็นชายหนุ่มเสียงนุ่มผู้คลั่งไคล้กีฬา เขามักใช้เวลาอยู่กับการออกแบบรองเท้าภายในห้องทำงานของตัวเอง ขณะที่ รูดอล์ฟ (รูดิ) ดาสเลอร์ เป็นเซลส์แมนผู้นิยมเข้าสังคมทั้งสองคนเริ่มต้นธุรกิจผลิตรองเท้ากีฬาเย็บมือด้วยกันภายในห้องซักผ้าของแม่ โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า“Dassler”
สองพี่น้องใช้เวลาเพียงไม่นานทำให้รองเท้ากีฬาของพวกเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เมื่อนักวิ่งระยะสั้นชาวอเมริกัน เจสซี่ โอเวนส์ มาเยือนเยอรมันในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกส์ปี 1936 ที่กรุงเบอร์ลิน แอดดิเดินทางจากบาวาเรียไปยังหมู่บ้านนักกีฬา เขาพบกับโอเวนส์และขอให้ลองใส่รองเท้าตะปูของดาสเลอร์ลงแข่ง และโอเวนส์ก็ได้เหรียญทอง 4 เหรียญ จากการใส่ดาสเลอร์ลงสนาม ทำให้หลังจากนั้นรองเท้าดาสเลอร์ขายได้ถึงกว่า 2 แสนคู่ต่อปี จนกระทั่งก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
 แม้นั่นจะถือเป็นความสำเร็จอย่างมากของดาสเลอร์ แต่ว่าทั้งคู่ก็บ่มเพาะความคับข้องใจต่อกันมาตั้งแต่เริ่มต้นกิจการ พวกเขามีความเห็นไม่ตรงกันทั้งในเรื่องการเมือง อนาคตของบริษัท หรือแม้แต่การเลือกภรรยา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าทั้งแอดดิและรูดิจะเข้าร่วมกับพรรคนาซี แต่ดูเหมือนว่ารูดิจะมีความภักดีต่อฮิตเลอร์มากกว่า เรื่องที่คนทั่วไปรู้เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นความขัดแย้งของสองพี่น้องตระกูลดาสเลอร์ ดูเหมือนจะเป็นปัญหาเล็ก ภายในครอบครัว แต่ก็ไม่มีใครรู้รายละเอียดที่แท้จริง จุดแตกหักของผู้ก่อตั้งรองเท้าดาสเลอร์ทั้งสองเดินทางมาถึงในปี 1948 รูดิแยกตัวออกมาตั้งบริษัทผลิตรองเท้ากีฬาใหม่ในชื่อ “Ruda” หรือชื่อในปัจจุบันว่า“Puma” ขณะที่แอดดิใช้ชื่อแบรนด์รองเท้าของตัวเองว่า “Adidas” และทั้งสองแบรนด์ก็แข่งขันกันอย่างดุเดือดในตลาดร้องเท้ากีฬาระดับโลก นี่อาจเป็นข้อดีที่สุดที่ทำให้สองแบรนด์นี้ทรงอิทธิพลมากและมีดาวกีฬาชื่อดังระดับโลกมากมายสวมใส่รองเท้าของพวกเขา หลังจากยืนกันคนละฝั่งมากว่า 60 ปี ท้ายที่สุดแล้วความบาดหมางของทั้งสองตระกูลก็คลี่คลายลงในปี 2009 เมื่อพนักงานของพูม่าและอดิดาสออกมาจับมือและเล่นฟุตบอลร่วมกัน เป็นกิจกรรมที่ทั้งสองแบรนด์ออกมาให้ข่าวว่าร่วมกันจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนองค์กร One Day Peace
 ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ผู้ถือหุ้นหลักในพูม่าคือ กลุ่มบริษัท PPR ที่ดูแลบริษัทผลิตสินค้าระดับ Luxury รวมถึง Gucci จากฝรั่งเศส ส่วนอดิดาสกลายเป็นบริษัทมหาชน ปัจจุบันแม้ผู้สืบทอดตระกูลดาสเลอร์จะไม่ได้เป็นผู้ดูแลบริษัทผลิตรองเท้ายักษ์ใหญ่ทั้งสองแล้วก็ตาม แต่หลานชายของรูดิ นาม แฟรงค์ ดาสเลอร์ ก็ยังทำให้ผู้คนในเมืองแฮร์โซเกเนารัก ช็อค เมื่อรู้ว่าเขาทำงานให้กับทั้งพูม่าและอดิดาสครับ ออกจะเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับครอบครัวของสองพี่น้อง ที่ต้องมาขัดแย้งกันเองเป็นเวลากว่า 60 ปีนะครับ ทั้งที่ทั้งคู่ต่างมีความสามารถทำให้แบรนด์ของตัวเองเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและทำรายได้มหาศาลเช่นนี้ และหากไม่มีเรื่องบาดหมางกัน ใครจะรู้ว่าบางทีเราอาจมีโอกาสได้ใส่รองเท้ากีฬาคุณภาพดีที่ชื่อดาสเลอร์ก็เป็นได้.



ประวัติรองเท้า

ประวัติรองเท้าNEWBALANCE คำว่าสวัสดีกับเพื่อนๆ ทุกคนเลยที่เข้ามาติดตามการรีวิว สินค้าอินเท รน ด์   gadget  ใหม่ๆ รวมไปถึงตัวอุป...